วันอังคารที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2557

วันนอาสาฬหบูชา 2557



วันนอาสาฬหบูชา 2557





วันนอาสาฬหบูชา 2557 ตรงกับวันศุกร์ ที่ 11 กรกฎาคม หรือวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน โดยวันอาสาฬหบูชา ซึ่งก็คือวันที่พระพุทธองค์ได้ทรงแสดงธรรมเทศนา หรือหลักธรรมที่ทรงตรัสรู้เป็นครั้งแรก            สำหรับพุทธศาสนิกชนทุกคน คงทราบกันดีกว่า ทุกวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 ของทุกปี จะตรงกับวันสำคัญทางพุทธศาสนาอีกหนึ่งวัน นั่นคือ "วันอาสาฬหบูชา" ซึ่งในปี 2557 นี้ วันอาสาฬหบูชา ตรงกับวันศุกร์ ที่ 11 กรกฎาคม (ขึ้น 15 คํ่า เดือน 8) แต่หลายท่านอาจจะยังไม่ทราบความเป็นมาเกี่ยวกับวันอาสาฬหบูชาเท่าใดนัก ดังนั้นวันนี้เรามีประวัติวันอาสาฬหบูชามาฝากกันค่ะ 

          ทั้งนี้ คำว่า "อาสาฬหบูชา" สามารถอ่านได้ 2 แบบ คือ อา-สาน-หะ-บู-ชา หรือ อา-สาน-ละ-หะ-บู-ชา ซึ่งจะประกอบด้วยคำ 2 คำ คือ อาสาฬห ที่แปลว่า เดือน 8 ทางจันทรคติ กับคำว่า บูชา ที่แปลว่า การบูชา เมื่อนำมารวมกันจึงแปลว่า การบูชาในเดือน 8 หรือการบูชาเพื่อระลึกถึงเหตุการณ์สำคัญในเดือน 8 

          วันอาสาฬหบูชา คือวันที่พระพุทธเจ้าได้ทรงประกาศพระพุทธศาสนาเป็นครั้งแรก หลังจากตรัสรู้ได้ 2 เดือน   โดยแสดงปฐมเทศนาโปรดพระปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 ได้แก่ พระโกณฑัญญะ พระวัปปะ พระภัททิยะ พระมหานามะ และพระอัสสชิ ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เมืองพาราณสี แคว้นมคธ จน พระอัญญาโกณฑัญญะ ได้บรรลุธรรมและขอบวชเป็นพระภิกษุรูปแรกในพระพุทธศาสนา จึงถือว่าวันนี้มีพระรัตนตรัยครบองค์สามบริบูรณ์ครั้งแรกในโลก คือ มีทั้งพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ ซึ่งเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นก่อนพุทธศักราช 45 ปี

          ทั้งนี้ พระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่ปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 เรียกว่า "ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร"แปลว่า พระสูตรแห่งการหมุนวงล้อธรรม ซึ่งหลังจากปฐมเทศนา หรือเทศนากัณฑ์แรกที่พระองค์ทรงแสดงจบลง พระอัญญาโกณฑัญญะก็ได้ดวงตาเห็นธรรม สำเร็จเป็นพระโสดาบัน จึงขออุปสมบทเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าก็ได้ประทานอุปสมบทให้ด้วยวิธีที่เรียกว่า "เอหิภิกขุอุปสัมปทา"พระโกณฑัญญะจึงได้เป็น พระอริยสงฆ์องค์แรกในพระพุทธศาสนา ต่อมา พระวัปปะ พระภัททิยะ พระมหานามะ และพระอัสสชิ ก็ได้ดวงตาเห็นธรรม และได้อุปสมบทตามลำดับ 

          สำหรับใจความสำคัญของการปฐมเทศนา มีหลักธรรมสำคัญ 2 ประการ คือ 
    1. มัชฌิมาปฏิปทา หรือทางสายกลาง เป็นข้อปฏิบัติที่เป็นกลาง ๆ ถูกต้องและเหมาะสมที่จะให้บรรลุถึงจุดหมายได้ มิใช่การดำเนินชีวิตที่เอียงสุด 2 อย่าง หรืออย่างหนึ่งอย่างใด คือ

           การหมกมุ่นในความสุขทางกาย มัวเมาในรูป รส กลิ่น เสียง รวมความเรียกว่าเป็นการหลงเพลิดเพลินหมกมุ่นในกามสุข หรือกามสุขัลลิกานุโยค 

           การสร้างความลำบากแก่ตน ดำเนินชีวิตอย่างเลื่อนลอย เช่น บำเพ็ญตบะการทรมานตน คอยพึ่งอำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นต้น ซึ่งการดำเนินชีวิตแบบที่ก่อความทุกข์ให้ตนเหนื่อยแรงกาย แรงสมอง แรงความคิด รวมเรียกว่า อัตตกิลมถานุโยค 

          ดังนั้น เพื่อละเว้นห่างจากการปฏิบัติทางสุดเหล่านี้ ต้องใช้ทางสายกลาง ซึ่งเป็นการดำเนินชีวิตด้วยปัญญา โดยมีหลักปฏิบัติเป็นองค์ประกอบ 8 ประการ เรียกว่า อริยอัฏฐังคิกมัคค์ หรือ มรรคมีองค์ 8 ได้แก่       
           1. สัมมาทิฏฐิ เห็นชอบ คือ รู้เข้าใจถูกต้อง เห็นตามที่เป็นจริง 

           2. สัมมาสังกัปปะ ดำริชอบ คือ คิดสุจริตตั้งใจทำสิ่งที่ดีงาม 

           3. สัมมาวาจา เจรจาชอบ คือ กล่าวคำสุจริต 

           4. สัมมากัมมันตะ กระทำชอบ คือ ทำการที่สุจริต 

           5. สัมมาอาชีวะ อาชีพชอบ คือ ประกอบสัมมาชีพหรืออาชีพที่สุจริต 

           6. สัมมาวายามะ พยายามชอบ คือ เพียรละชั่วบำเพ็ญดี 

           7. สัมมาสติ ระลึกชอบ คือ ทำการด้วยจิตสำนึกเสมอ ไม่เผลอพลาด 

           8. สัมมาสมาธิ ตั้งจิตมั่นชอบ คือ คุมจิตให้แน่วแน่มั่นคงไม่ฟุ้งซ่าน 

    2. อริยสัจ 4 แปลว่า ความจริงอันประเสริฐของอริยะ ซึ่งคือ บุคคลที่ห่างไกลจากกิเลส ได้แก่      
           1. ทุกข์ ได้แก่ ปัญหาทั้งหลายที่เกิดขึ้นกับมนุษย์ บุคคลต้องกำหนดรู้ให้เท่าทันตามความเป็นจริงว่ามันคืออะไร ต้องยอมรับรู้ กล้าสู้หน้าปัญหา กล้าเผชิญความจริง ต้องเข้าใจในสภาวะโลกว่าทุกสิ่งไม่เที่ยง มีการเปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างอื่น ไม่ยึดติด  
    
           2. สมุทัย ได้แก่ เหตุเกิดแห่งทุกข์ หรือสาเหตุของปัญหา ตัวการสำคัญของทุกข์ คือ ตัณหาหรือเส้นเชือกแห่งความอยากซึ่งสัมพันธ์กับปัจจัยอื่นๆ  
    
           3. นิโรธ ได้แก่ ความดับทุกข์ เริ่มด้วยชีวิตที่อิสระ อยู่อย่างรู้เท่าทันโลกและชีวิต ดำเนินชีวิตด้วยการใช้ปัญญา  

           4. มรรค ได้แก่ กระบวนวิธีแห่งการแก้ปัญหา อันได้แก่ มรรคมีองค์ 8 ประการดังกล่าวข้างต้น 


กิจกรรมวันอาสาฬหบูชา 

           พิธีกรรมโดยทั่วไปที่นิยมกระทำในวันนี้ คือ การทำบุญ ตักบาตร รักษาศีล ฟังพระธรรมเทศนา และสวดมนต์ ในตอนค่ำก็จะมีการเวียนเทียนที่เป็นการสืบทอดประเพณีอันดีงามของไทยเรา
 ดังนั้น พุทธศาสนิกชนทั้งหลายควรเข้าวัด เพื่อน้อมระลึกถึงคุณพระรัตนตรัย อีกทั้งยังเป็นการช่วยชะล้างจิตใจให้ปลอดโปร่งผ่องใส จะได้มีร่างกายและจิตใจที่พร้อมสำหรับการดำเนินชีวิตในยุคที่ค่าครองชีพถีบตัวสูงขึ้นอย่างนี้...







Fairly well recog Eon Pwantn 

Edited by Gir Dot Com. 
Thank illustration of dhammathai.org 

           Bucha Day falls on Friday, July 11, 2557 or the 15th lunar month Buddhist Lent Day. That is, the Buddha gave the sermon. Or the first principles of the Enlightenment. 

           For Buddhists all I know better than anyone the 15th day of the 8th lunar month every year to coincide with another important Buddhist days was "Su" in 2557, which is Su. On Friday, 11 June (the month 8 of 15), but many of you may not know as much about Su. So today we have a history Bucha too. 

           The word "Lent" can be read two ways Art - Sculpture - Wha - Boo - Tea Art - Sculpture - by - Bible - Boo - tea. This will consist of two words meaning Aasaฬh eight lunar month to worship at the shrine that when taken together, it means that. Worship, or worship in 8 to commemorate important events in 8 months. 

           Su Is the date of the Buddha preached Buddhism for the first time. After enlightenment, the second month the sermon to his five disciples and 5 include the attitude towards logic decoding the Wanppa the Phatthiya her crown in Japan and the Assamese wild hermit's Maruekhathayawan Varanasi, Bihar, as the butterfly. Ya attitude towards logic decoding I have attained enlightenment and became a monk in Buddhism. It is considered today a great first three plenary Buddha in the world is both the Buddha, Dhamma and the Sangha which this event occurred before AD 45. 

           The Dhamma that the Buddha gave to the five disciples of the five so-called "Eon Dhammapadaṭṭhakathā know the watts the formula" means the formula of wheel spin justified. After the sermon He preached his first sermon or the show ends. His attitude towards logic decoding Anya Eyes rents. Success is the enlightened Hereby ordain as a monk in Buddhism. Buddha gave way to the so-called initiation. "The Lehi refrain Aupsampta" The attitude towards logic decoding is not. In Buddhism, the Buddhist saint Later Wanppa the Phatthiya in Toyama Prefecture and the great The Assamese Eyes rents. And was ordained by 

           For the focus of the sermon. There are 2 important principles. 

     Middle 1 Moderate or As a neutral, accurate and appropriate action to achieve success. Not a lifestyle slant top or either of the two. 

            To indulge in physical pleasures of taste, smell, sound, combining the passion that I enjoy the immersion in erotic pleasure. Its hot or erotic elements on the West Coast. 

            To create difficulties for him Shifting the ascetic lifestyle of his torture. I rely on the divine power of life, which contributes to their suffering, tired body and brain with an idea called autoregressive Gilmore Design and Mayo. 

           So, to refrain from these practices end. Requires moderation This is the wisdom of life The practice is called the noble elements 8 The Evil ฐa mug me or kick the path there are eight livery. 
      
            1. viewpoint gained approval is to understand correctly. Seen by the fact 

            2 Sammasagkappa honestly thought I was the intention to do something good. 

            3. speech is like saying good faith negotiations. 

            4 Right conduct is to act like that, honestly. 

            5. livelihood occupation or profession of faith like the assembly No Data. 

            6 Sammawayama painstaking efforts like the evil of good practice. 

            7 mindfulness is a gift you're not always connected with a conscience. 

            8. mental concentration is controlled it like a steadfast spirit is not distracted. 

     2 4 Noble Truths fact that the good of virtue, which is that individuals are far from defilements. 
    
            1. suffering are issues that have happened to humans. People need to know the tricks given the fact that it is. To acknowledge Valiant issues page Courage to face the truth To understand the state of the world that all things are impermanent. Is changed to something else not attached. 
    
            2 also caused accumulation of suffering. The cause of the problem or The key of suffering is desire or craving which is associated with a string of other factors. 
    
            3 starts with the extinction of the sorrows of life. Is knowingly world and life. With the use of artificial life 


            4 Samak include the methodology of solving the problem, including the path with eight factors listed above.

เศรษฐกิจพอเพียง

เศรษฐกิจพอเพียง






เศรษฐกิจพอเพียง เป็นปรัชญาที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมีพระราชดำรัสแก่ชาวไทยนับตั้งแต่ พ.ศ. 2517 เป็นต้นมา[1][2] และถูกพูดถึงอย่างชัดเจนในวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2540 เพื่อเป็นแนวทางการแก้ไขวิกฤตการณ์ทางการเงินในเอเชีย พ.ศ. 2540 ให้สามารถดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนในกระแสโลกาภิวัตน์และความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ[3]

เศรษฐกิจพอเพียงมีบทบาทต่อการกำหนดอุดมการณ์การพัฒนาของประเทศ[ต้องการอ้างอิง] โดยปัญญาชนในสังคมไทยหลายท่านได้ร่วมแสดงความคิดเห็น อย่างเช่น ศ.นพ.ประเวศ วะสี, ศ.เสน่ห์ จามริก, ศ.อภิชัย พันธเสน, และศ.ฉัตรทิพย์ นาถสุภา โดยเชื่อมโยงแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงเข้ากับวัฒนธรรมชุมชน ซึ่งเคยถูกเสนอมาก่อนหน้าโดยองค์กรนอกภาครัฐจำนวนหนึ่งนับตั้งแต่พุทธทศวรรษ 2520 และได้ช่วยให้แนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในสังคมไทย

สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้เชิญผู้ทรงคุณวุฒิในทางเศรษฐกิจและสาขาอื่น ๆ มาร่วมกันประมวลและกลั่นกรองพระราชดำรัสเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อบรรจุในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 9[3][4] และได้จัดทำเป็นบทความเรื่อง "ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง" และได้นำความกราบบังคลทูลพระกรุณาขอพระราชทานพระบรมราชวินิจฉัย เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2542 โดยทรงพระกรุณาปรับปรุงแก้ไขพระราชทานและทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้นำบทความที่ทรงแก้ไขแล้วไปเผยแพร่ เพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนประชาชนโดยทั่วไป เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2542

ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงนี้ได้รับการเชิดชูจากองค์การสหประชาชาติ ว่าเป็นปรัชญาที่มีประโยชน์ต่อประเทศไทยและนานาประเทศ[5] และสนับสนุนให้ประเทศสมาชิกยึดเป็นแนวทางสู่การพัฒนาแบบยั่งยืน[6] โดยมีนักวิชาการและนักเศรษฐศาสตร์หลายคนเห็นด้วยกับแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง แต่ในขณะเดียวกัน บางสื่อตั้งคำถามถึงการยกย่องขององค์การสหประชาชาติ รวมทั้งความน่าเชื่อถือของรายงานศึกษาและท่าทีขององค์การ สหประชาชาติ

อาหารประจำชาติอาเซียน


อาหารประจำชาติอาเซียน








1.ประเทศไทย 

         






 ต้มยำกุ้ง (Tom Yam Goong)  แค่เอ่ยชื่อก็เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า ต้มยำกุ้งเป็นอาหารคาวที่เหมาะสำหรับรับประทานกับข้าวสวยร้อน ๆ กลิ่นหอมของสมุนไพรที่เป็นส่วนประกอบในต้มยำกุ้ง นอกจากจะทำให้รู้สึกสดชื่นแล้ว ยังช่วยกระตุ้นการเจริญอาหารได้เป็นอย่างดี

          และเนื่องจากต้มยำกุ้งเป็นอาหารที่มีรสเปรี้ยว และเผ็ดเป็นหลัก ทำให้รับประทานแล้วไม่เลี่ยน จึงทำให้ต้มยำกุ้งเป็นอาหารที่ได้รับความนิยมในทั่วทุกภาคของประเทศไทย รวมถึงชาวต่างชาติเองก็ติดอกติดใจในความอร่อยของต้มยำกุ้งเช่นเดียวกัน






อาม็อก - ประเทศกัมพูชา

2.ประเทศกัมพูชา

          อาม็อก (Amok) เป็นอาหารคาวยอดนิยมของกัมพูชา มีลักษณะคล้ายห่อหมกของไทย โดยเป็นการนำเนื้อปลาสด ๆ ลวกพริกเครื่องแกง และกะทิ แล้วทำให้สุกโดยการนำไปนึ่ง ซึ่งนอกจากจะใช้เนื้อปลาแล้ว อาจเลือกใช้เนื้อไก่แทนก็ได้ ส่วนสาเหตุที่คนในประเทศกัมพูชานิยมรับประทานปลา เนื่องจากสภาพภูมิประเทศของกัมพูชามีแหล่งน้ำอุดมสมบูรณ์ ทำให้ปลาเป็นอาหารที่หารับประทานได้ง่ายนั่นเอง








 ประเทศบรูไน

3.ประเทศบรูไน

          อัมบูยัต (Ambuyat) เป็นอาหารยอดนิยมของบรูไน มีลักษณะเด่นอยู่ที่ตัวแป้งจะเหนียวข้นคล้ายข้าวต้ม หรือโจ๊ก โดยมีแป้งสาคูเป็นส่วนผสมหลัก ตัวแป้งอัมบูยัตเอง ไม่มีรสชาติ แต่ความอร่อยจะอยู่ที่การจิ้มกับซอสผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว นอกจากนี้ยังมีเครื่องเคียงอีก 2-3 ชนิด เช่น ผักสด เนื้อห่อใบตองย่าง หรือเนื้อทอด  ทั้งนี้ การรับประทานอัมบูยัตให้ได้รสชาติ ต้องรับประทานตอนร้อน ๆ จึงจะดีที่สุด







หล่าเพ็ด - ประเทศพม่า

4.ประเทศพม่า

          หล่าเพ็ด (Lahpet) เป็นอาหารยอดนิยมของพม่า โดยการนำใบชาหมักมาทานกับเครื่องเคียง เช่น กระเทียมเจียว ถั่วชนิดต่าง ๆ งาคั่ว กุ้งแห้ง ขิง มะพร้าวคั่ว เรียกได้ว่า มีลักษณะคล้ายคลึงกับเมี่ยงคำของประเทศไทย ซึ่งหล่าเพ็ดนี้ จะเป็นเมนูอาหารที่ขาดไม่ได้ในโอกาสพิเศษหรือเทศกาลสำคัญ ๆ ของประเทศพม่า โดยกล่าวกันว่า หากงานเลี้ยง หรืองานเฉลิมฉลองใด ไม่มีหล่าเพ็ด จะถือว่าการนั้นเป็นงานที่ขาดความสมบูรณ์ไปเลยทีเดียว






อโดโบ้ - ประเทศฟิลิปปินส์

5.ประเทศฟิลิปปินส์

          อโดโบ้ (Adobo) เป็นอาหารยอดนิยมของประเทศฟิลิปปินส์ ทำจากเนื้อหมู หรือเนื้อไก่ ที่ผ่านการหมัก และปรุงรส โดยจะใส่น้ำส้มสายชู ซีอิ๊วขาว กระเทียมสับ ใบกระวาน พริกไทยดำ นำไปทำให้สุกโดยอบในเตาอบ หรือทอด แล้วนำมารับประทานกับข้าวสวยร้อน ๆ

          ในอดีตอาหารจานนี้เป็นที่นิยมในหมู่นักเดินทาง เนื่องจากส่วนผสมของอโดโบ้สามารถเก็บรักษาไว้ได้นาน เหมาะสำหรับพกไว้เป็นเสบียงอาหารระหว่างการเดินทาง ซึ่งปัจจุบันอโดโบ้ได้กลายเป็นอาหารยอดนิยมที่นำมารับประทานกันได้ทุกที่ทุกเวลา







ลักซา - ประเทศสิงคโปร์

6.ประเทศสิงคโปร์

          ลักซา (Laksa) อาหารขึ้นชื่อของประเทศสิงคโปร์ ลักซามีลักษณะคล้ายก๋วยเตี๋ยวต้มยำใส่กะทิ ทำให้รสชาติเข้มข้น คล้ายคลึงกับข้าวซอยของไทย โดยลักซาจะมีส่วนผสมของ กุ้งแห้ง พริก กุ้งต้ม และหอยแครง เหมาะสำหรับคนที่ชอบรับประทานอาหารทะเลเป็นอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตาม ลักซามีทั้งแบบที่ใส่กะทิ และไม่ใส่กะทิ ทว่า แบบที่ใส่กะทิจะเป็นที่นิยมมากกว่า







กาโด กาโด - ประเทศอินโดนิเซีย

7.ประเทศอินโดนีเซีย

          กาโด กาโด (Gado Gado) อาหารยอดนิยมของประเทศอินโดนีเซีย ประกอบไปด้วยผัก และธัญพืชหลากหลายชนิด  ทั้งแครอท มันฝรั่ง กะหล่ำปลี ถั่วงอก ถั่วเขียว นอกจากนี้ยังมีเต้าหู้ และไข่ต้มสุกด้วย กาโด กาโดจะนำมารับประทานกับซอสถั่วที่คล้ายกับซอสสะเต๊ะ อย่างไรก็ตาม ด้วยเครื่องสมุนไพรในซอส อาทิ รากผักชี หอมแดง กระเทียม ตะไคร้ ทำให้เมื่อรับประทานแล้วจะไม่รู้สึกเลี่ยนกะทิมากจนเกินไปนั่นเอง








สลัดหลวงพระบาง - ประเทศลาว

8. ประเทศลาว 

          สลัดหลวงพระบาง (Luang Prabang Salad) เป็นอาหารขึ้นชื่ออีกชนิดหนึ่ง เนื่องจากมีรสชาติกลาง ๆ ทำให้รับประทานได้ทั้งชาวตะวันออก และตะวันตก โดยส่วนประกอบสำคัญคือ ผักน้ำ ซึ่งเป็นผักป่าที่ขึ้นตามริมธารน้ำไหล และยังมีส่วนประกอบอื่น ๆ เช่น  มันแกว แตงกวา มะเขือเทศ ไข่ต้ม ผักกาดหอม และหมูสับลวกสุก ส่วนวิธีปรุงรสคือ ราดด้วยน้ำสลัดชนิดใส คลุกส่วนผสมทั้งหมดเข้าด้วยกัน แล้วโรยหน้าด้วยกระเทียมเจียว และถั่วลิสงคั่ว





นาซิ เลอมัก - ประเทศมาเลเซีย

9.ประเทศมาเลเซีย

          นาซิ เลอมัก (Nasi Lemak) อาหารยอดนิยมของประเทศมาเลเซีย โดยนาซิ เลอมัก จะเป็นข้าวหุงกับกะทิ และใบเตย ทานพร้อมเครื่องเคียง 4 อย่าง ได้แก่ ปลากะตักทอดกรอบ แตงกวาหั่น  ไข่ต้มสุก และถั่วอบ ซึ่งนาซิ เลอมักแบบดั้งเดิมจะห่อด้วยใบตอง และมักทานเป็นอาหารเช้า แต่ในปัจจุบัน กลายเป็นอาหารยอดนิยมที่ทานได้ทุกมื้อ และแพร่หลายในประเทศเพื่อนบ้านอีกหลายแห่ง เช่น สิงคโปร์ และภาคใต้ของไทยด้วย







ปอเปี้ยะเวียดนาม - ประเทศเวียดนาม

10.ประเทศเวียดนาม 

          เปาะเปี๊ยะเวียดนาม  (Vietnamese Spring Rolls) ถือเป็นหนึ่งในอาหารพื้นเมืองที่โด่งดังที่สุดของประเทศเวียดนาม ความอร่อยของเปาะเปี๊ยะเวียดนาม อยู่ที่การนำแผ่นแป้งซึ่งทำจากข้าวจ้าวมาห่อไส้ ซึ่งอาจจะเป็นไก่ หมู กุ้ง หรือหมูยอ โดยนำมารวมกับผักสมุนไพรอีกหลายชนิด เช่น สะระแหน่ ผักกาดหอม และนำมารับประทานคู่กับน้ำจิ้มหวาน โดยจะมีถั่วคั่ว แครอทซอย ไชเท้าซอย ให้เติมตามใจชอบ และบางครั้งอาจมีเครื่องเคียงอย่างอื่นเพิ่มด้วย  



















2014 World Cup

ฟุตบอลโลก 2014
ฟุตบอลโลก 2014 (อังกฤษ2014 FIFA World Cup; )

ตุเกสCopa do Mundo da FIFA 2014) เป็นการแข่งขันฟุตบอลโลกชาติระดับประเทศ ครั้งที่ 20 ซึ่งมีกำหนดจะจัดขึ้นที่ประเทศบราซิล ระหว่างวันที่ 12 มิถุนายน13 กรกฎาคม พ.ศ. 2557[1] นี่เป็นครั้งที่สองที่บราซิลได้เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันดังกล่าว โดยเป็นเจ้าภาพครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2493 ทำให้บราซิลกลายเป็นประเทศที่ 5 ที่เป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลกสองครั้งต่อจากประเทศเม็กซิโก ประเทศอิตาลี ประเทศฝรั่งเศส และประเทศเยอรมนี นับตั้งแต่ฟุตบอลโลกปี พ.ศ. 2521 ที่ประเทศอาร์เจนตินาซึ่งเป็นครั้งแรกที่จัดขึ้นในทวีปอเมริกาใต้ และเป็นครั้งแรกที่มีจัดการแข่งขันนอกทวีปยุโรปสองครั้งติดต่อกัน และเป็นครั้งแรกที่มีจัดการแข่งขันในซีกโลกใต้ติดต่อกันสองครั้ง (ก่อนหน้านี้ฟุตบอลโลก 2010 จัดในประเทศแอฟริกาใต้) นอกจากนี้ ฟีฟ่าก็จะใช้เทคโนโลยีโกลไลน์เป็นครั้งแรกในการแข่งขันครั้งนี้ด้วย
ตั๋วของการแข่งขันเปิดขายตั้งแต่วันที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2556 จำนวนประมาณ 3.3 ล้านใบ ผ่านเว็บไซต์ของฟีฟ่า



การคัดเลือกเจ้าภาพ
วันที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2546 ฟีฟ่าได้ประกาศว่า การแข่งขันฟุตบอลโลกจะจัดขึ้นในทวีปอเมริกาใต้อีกครั้งนับตั้งแต่การแข่งขันฟุตบอลโลก 1978 ในอาร์เจนตินา เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายที่จะหมุนเวียนสิทธิ์ในการจัดการแข่งขันไปตามสหพันธ์ฟุตบอลต่าง ๆ ต่อมาในวันที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2546 สมาพันธ์ฟุตบอลอเมริกาใต้ (คอนเมบอล) ได้แจ้งว่าอาร์เจนตินา บราซิล และโคลอมเบียมีความประสงค์จะเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลก 2014 รอบสุดท้าย และในวันที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2547 คอนเมบอลได้ลงมติเอกฉันท์ให้บราซิลเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันในครั้งนี้
บราซิลได้ประกาศเสนอตัวเป็นเจ้าภาพอย่างเป็นทางการในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2549 และโคลอมเบียได้ประกาศในวันถัดมา ส่วนอาร์เจนตินาไม่มีการประกาศเสนอตัว โดยในวันที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2550 โคลอมเบียได้ขอถอนตัวอย่างเป็นทางการ ซึ่งฟรันซิสโก ซานโตส กัลเดรอน รองประธานาธิบดีโคลอมเบียกล่าวว่าโคลอมเบียจะจัดการแข่งขันฟุตบอลโลกชุดอายุไม่เกิน 20 ปี ใน พ.ศ. 2554 แทน ทำให้เหลือเพียงบราซิลประเทศเดียวที่จะเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันนี้
บราซิลชนะการคัดเลือกเจ้าภาพฟุตบอลโลก 2014 โดยงานประกาศนั้นมีขึ้นในวันที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2550 ในฐานะที่เป็นประเทศเดียวที่เสนอชื่อเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน
วันและสถานที่แข่งขัน

วันแข่งขัน

การแข่งขันครั้งนี้จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 12 มิถุนายน ถึง 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 ซึ่งเป็นสัปดาห์หลังจากที่การแข่งขันฟุตบอลลีกในทวีปยุโรปปิดฤดูกาลลง และยังตรงกับช่วงฤดูหนาวของประเทศในเขตกึ่งร้อนอย่างบราซิลอีกด้วย

สถานที่แข่งขัน


เมือง 17 เมืองที่สนใจจะเข้ารับคัดเลือกเป็นเจ้าภาพการแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งนี้ ได้แก่ เบเลงเบโลโอรีซอนตีบราซีเลียกัมปูกรันดีกุยาบากูรีตีบาโฟลเรียนอโปลิสฟอร์ตาเลซาโกยาเนียมาเนาส์นาตาลโปร์ตูอาเลเกรเรซีฟีโอลิงดา (สนามจะเป็นสนามที่ใช้ร่วมกัน 2 เมือง), รีโอบรังโกรีโอเดจาเนโรซัลวาดอร์ และเซาเปาลู[10] ส่วนมาเซโอได้ถอนตัวไปในเดือนมกราคม พ.ศ. 2552
ตามกฎของฟีฟ่า ห้ามมีเมืองที่ใช้แข่งขันเกิน 1 สนาม และจำนวนของเมืองเจ้าภาพต้องอยู่ระหว่าง 8–10 เมือง โดยสมาพันธ์ฟุตบอลบราซิล (เซเบเอฟี) ได้ยื่นคำขอที่จะใช้เมืองเจ้าภาพ 12 เมืองในการจัดการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายครั้งนี้[11] ต่อมาในวันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2551 ฟีฟ่าได้อนุมัติแผนการใช้เมืองเจ้าภาพที่มากถึง 12 เมือง[12]
ก่อนหน้าที่จะมีการคัดเลือกตัดสินเมืองที่จะเป็นเจ้าภาพ มีการสงสัยกันว่า สนามที่จะได้จัดการแข่งขันนัดชิงชนะเลิศคงเป็นสนามมารากานังในเมืองรีโอเดจาเนโร ซึ่งเคยเป็นสนามแข่งขันนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลโลก 1950 ระหว่างอุรุกวัยกับบราซิลมาแล้ว แต่เดิมสมาพันธ์ฟุตบอลบราซิลตั้งใจจะจัดการแข่งขันนัดเปิดสนามที่สนามโมรุงบีในเมืองเซาเปาลูซึ่งเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของบราซิล อย่างไรก็ตาม วันที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2553 สนามโมรุงบีถูกตัดชื่อออกเนื่องจากไม่สามารถวางเงินประกันการปรับปรุงสนามให้เป็นไปตามมาตรฐานได้[13] ต่อมาในปลายเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2553 สมาคมฟุตบอลบราซิลได้ประกาศให้ใช้อาเรนาโกริงชังส์จัดการแข่งขันในเซาเปาลู
เมือง 12 เมืองที่จะเป็นเจ้าภาพในการแข่งขันฟุตบอลโลก 2014 ได้รับการประกาศอย่างเป็นทางการในวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2552 เมืองเบเลง, กัมปูกรันดี, โฟลเรียนอโปลิส, โกยาเนีย และรีโอบรังโกถูกตัดออก เกินครึ่งของเมืองที่ผ่านการคัดเลือกจะต้องปรับปรุงสนามหรือสร้างสนามขึ้นมาใหม่เพื่อใช้ในการแข่งขันครั้งนี้ ในขณะที่สนามในกรุงบราซีเลียจะถูกทุบและสร้างขึ้นใหม่ ส่วนอีกห้าเมืองก็กำลังปรับปรุงสนามของตนเอง

2014 World Cup 




2014 World Cup (England: 2014 FIFA World Cup;). 
Portuguese: Copa do Mundo da FIFA 2014) is a World Cup level of 20 times, which is scheduled to be held in Brazil. Between 12 June -13 July 2557 [1] This is the second time that Brazil has hosted such. By the year 2493, when the first host country to make Brazil become the fifth host the World Cup twice, after Mexico, Italy, France. And Germany Since the 2521 World Cup in Argentina, which was first held in South America. And the first event outside Europe with two consecutive times. And the first tournament in the Southern Hemisphere with two consecutive times. (Previously the 2010 World Cup held in South Africa) and it will use the FIFA Goal Line Technology is the first in the race this time. 
Tickets for the match go on sale from 20 August 2556 of approximately 3.3 million tickets through the website of FIFA. 
Selection of hosts 


March 7, 2546, FIFA announced that. The World Cup is held in South America since the 1978 World Cup in Argentina. To comply with policies that are circulating right to contest the Football Federation later on 3 June 2546 South American Football Confederation (Hammer Ball) announced that Argentina, Brazil and Colombia have. will host the 2014 World Cup final, and on 17 March 2547 by Hammer voted unanimously to Brazil to host the tournament. 
Brazil has announced a bid to host the official in December 2549 and Colombia have announced the next day. The declaration proposed by Argentina on 11 April 2550, Colombia has officially withdrawn. The Franciscan Francisco Santos Calderon, Vice President of Colombia said that Colombia will host the Under-20 World Cup year in 2554, instead of just making Brazil the only country to host the tournament. 
Brazil won the 2014 World Cup qualifier hosted by the announcement were made on 30 October 2550 as the only country named as host. 
Date and venue 
race Day 
This race will be held between 12 June and 13 July 2557, a week after the football leagues in Europe, shut down the season. And also coincides with the winter of sub-tropical countries such as Brazil, too. 
Place 
In 17 cities of interest are selected to host the World Cup are: Belem, Belo Horizonte, Brasília, Campo Grande, Cuiabá, Curitiba, Four. Florianopolis, Fortaleza Fortaleza, Goiânia, Manaus, Natal, Porto Alegre, Recife, Olinda (a stadium field, a shared two cities). , Rio Branco, Rio de Janeiro, Salvador and Sao Paulo [10] Maceio was withdrawn in January 2552. 


According to FIFA rules Do not have the city used more than one field and the number of host cities must be between 8-10 cities by the Brazilian Football Confederation (Sebel et Feed) submitted a request to the host cities, 12 cities in the world cup around. Last time [11] Later, on 26 December 2551, FIFA has approved plans for the city to host up to 12 cities. [12] 
Before the judge selected to host cities. There is no doubt that Field to the final competition is the Marathi Ka Nang in Rio de Janeiro. Which used to be the 1950 World Cup Final match between Uruguay and Brazil ago. Originally intended Brazilian Football Confederation will host the opening match at Mamoru The Beach In Sao Paulo, the largest city in Brazil, however, on 14 June 2553 on the beach Mamoru was cut. your deposit is due not to improve the standards to be based on [13] Later, in late August 2553 Brazil Football Association has announced the Ares Nagoya hate's Ring tournament in Sao Paulo. Blue 
12 cities to host the 2014 World Cup was officially announced on 31 May 2552 in Belem, Campo Grande, Florianopolis Florianopolis, Goya. Catalonia and Rio Branco eliminated. More than half of the city were chosen to be renovations or building a new stadium for the competition. While the airport in Brasília, being smashed and reconstructed. The other five cities are renovating their own.







mother's Day

mother's Day



            The August 12 of every year is Her Majesty the Queen Sirikit's birthday. This public holiday is celebrated nationwide as Mother's Day which has been first begun since the year 1976 by The National council on Social Welfare of Thailand. 
The Queen is considered as the mother of all Thai people. 

The flower used as symbol of this day is jasmine which is naturally white colour. Its nice smell lasts for long period and spread far away. Jasmin also sprouts all year round, so we can compare this with Mother’s true love given to her children and which is never ended.



Different countries celebrate Mother’s Day on various days of the year because the day has a number of different origins.

One school of thought claims this day emerged from a custom of mother worship in ancient Greece, which kept a festival to Cybele, a great mother of Greeek gods. This festival was held around the Vernal Equinox .



National Costumes of ASEAN Member States


National Costumes of ASEAN Member States

  • Baju Melayu is a traditional Malay outfit for men. The Muslim males in Malaysia wear the traditional dress, baju Melayu, during festivals and wedding gatherings.They will usually wear accompanying accessories like the songkok(black hat) and samping(extra piece of sarong wrapped around the waist).


The female version of the baju melayu is called the baju kurungBaju Kurung is the traditional dress for the Muslim ladies in Malaysia.It is simple and graceful,and covers most part of the wearer's body in compliance of theIslamic teaching.


The most popular and widely-recognized Vietnamese national costume is the Áo dài, which is worn nowadays mostly by women, although men do wear Áo dài on special occasions such as weddings and funerals. Áo dài is similar to the Chinese Qipao, consisting of a long gown with a slit on both sides, worn over silk pants.

The longyi is the Myanmar national dress worn by men as well as women. It is basically a piece of cloth sown into a cylindrical tube, slipped over the head by men and stepped into by the women and tucked in at the waist. Men and women however fasten their longyis at the waist in different ways. Men fold the


garment into two panels and knot it neatly at waist level
Bruneians wear traditional Malay costumes. Men wear baju Melayu.  Brunei women dress in brightly coloured apparels. The dresses usually cover their body from head to toe. They wear a head scarf in public places and in government offices.


Lao women wear the silk skirts, blouses and scarves to attend important ceremonies. Lao men wear salong, big large pants or the peasant pants



Kebaya is a traditional blouse-dress combination worn by women in Indonesia. It is sometimes made from sheer material and usually worn with a sarong or batik. Indonesian men generally wear sarongs (usually with a checkered pattern) in the home. In public, the sarong is worn only when attending Friday prayers at the mosque. For formal national occasions, the men wear batik shirts with trousers or teluk beskap, a combination of the Javanese jacket and sarong.










The barong Tagalog (or simply barong) is an embroidered formal garment of the Philippines. In Filipino culture it is a common wedding and formal attire, mostly for men but also for women. Thebalintawak is the traditional Filipino costume for women.The costume typically features a white or cream-coloured blouse with puffy-butterfly sport sleeves.







The women's national costume is named the Chakri. It is made up of Thai silk. The dress includes a back-less and shoulder-less shirt, a ready-to-wear skirt with Na-nang ( a typical Thai cutting style on a center of a skirt), and a shawl which is made by organdy.The men's national costume is known as sue phraratchatan (royally bestowed shirt).





The traditional Cambodian sampot is a woman's long skirt with a fold or pleat in the front, but some sampot styles actually look more like trousers. It is worn with a modest shirt or blouse. On special occasions women match the color of their sampot to the traditional color for that day. Cambodian men typically wear cotton or silk shirts with short or long sleeves. They wear cotton trousers as well.

Singapore does not really have its own national costume because there are 4 different main races which are the Chinese, Malay, Indian and the Eurasians. Each race has their own costumes.